สารบัญ

กฎหมายการปลดล็อกกัญชาให้ออกจากยาเสพติดมีผลบังคับใช้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยหลายคนเริ่มปลูกเพื่อนำมาสูบ หรือใช้ประกอบอาหารเพื่อให้อาหารมีความอร่อยติดใจมากขึ้น กระนั้นก็มีหลายเรื่องเกี่ยวกับ “กัญชาถูกกฎหมาย” ซึ่งจำเป็นต้องศึกษาเรียนรู้อย่างละเอียด เป็นการคลายความสงสัยต่าง ๆ ที่บางคนอาจมีอยู่ไม่มากก็น้อย เพื่อการใช้งานที่เหมาะสมตอบโจทย์มากที่สุด

photo credit : Sharon McCutcheon

เรื่องต้องรู้ของ “กัญชาถูกกฎหมาย” ที่ไม่อาจมองข้ามไปได้

ตามที่ได้มีประกาศจากกระทรวงสาธารณสุขถึงรายชื่อยาเสพติดให้โทษที่จัดอยู่ในกลุ่ม 5 พ.ศ. 2565 ได้มีผลบังคับใช้ไปแล้วตั้งแต่วันที่ 9 มิ.ย. 2565 โดยจะควบคุมเฉพาะสารสกัดที่มาจากกัญชาอย่างสาร THC เกิน 0.2% ซึ่งยังคงเป็นยาเสพติดให้โทษให้กลุ่ม 5 อยู่ และหากเป็นส่วนอื่นนั้นจะถือว่าเป็น “กัญชาถูกกฎหมาย” ซึ่งเรื่องนี้ทางหน่วยงานภาครัฐได้เล็งเห็นแล้วว่าการปลดล็อกกัญชาให้คนไทยมีความเหมาะสมตามเป้าหมาย 3 เรื่อง คือ

  • เพื่อให้เป็นประโยชน์ทางการแพทย์ ดูแล บำรุงรักษาร่างกายต่อไป
  • เพื่อให้ประชาชนทุกคนได้มีทางเลือกในการดูแลสุขภาพของตนเองด้วยตัวเอง
  • เพื่อให้เศรษฐกิจ และอุตสาหกรรมได้ถูกขับเคลื่อนไปในทิศทางที่ดีขึ้นกว่าเดิม ไม่ว่าจะสมุนไพร เครื่องสำอาง อาหาร หรือช่วยส่งเสริมงานวิจัยด้านนวัตกรรม

ซึ่งหากภาคอุตสาหกรรมใดที่ต้องการแปรรูปกัญชาก็จำเป็นต้องขออนุญาตจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่าง สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ส่วนใครที่จะใช้ในครัวเรือนหากมีรั้วเขตกั้นมิดชิดก็สามารถใช้ได้ไม่จำเป็นต้องขออนุญาตใด ๆ เพื่อจดแจ้งแต่ต้องใช้ในบ้านเท่านั้น

หากนำมาใช้ในพื้นที่สาธารณะแบบนี้ไม่ได้ และสัดส่วนการใช้งานก็อย่างที่บอกว่าต้องมีส่วนผสมสาร THC ไม่เกิน 0.2% โดยรายละเอียดเพิ่มเติมเพื่อให้ทำความเข้าใจได้มากขึ้นในเรื่องของกัญชาถูกกฎหมาย

ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับกัญชาถูกกฎหมาย

1. ผลิตภัณฑ์ที่จะได้จากกัญชาถูกกฎหมาย

กรณีที่ต้องการนำเมล็ด หรือส่วนอื่นของกัญชาอย่าง กิ่ง ก้าน ใบ ช่อดอก ไม่ต้องขออนุญาตนำเข้าตามกฎหมายเรื่องยาเสพติดใด ๆ แต่ต้องขออนุญาตตาม พรบ.กักพืช พ.ศ. 2507 และ พรบ.พันธุ์พืช พ.ศ. 2518 แทน

กรณีที่เป็นสารสกัดที่ได้มีการนำเข้ามาจากต่างประเทศ แบบนี้จะถือว่าเป็นยาเสพติดให้โทษ และต้องขออนุญาตแล้วด้วย และหากใครต้องการนำส่วนต่าง ๆ ไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ก็ต้องมีการขออนุญาตตามกฎหมาย

และมีกระบวนการผลิตที่ได้คุณภาพ มีมาตรฐานตามหลักการผลิต เช่น อาหารต้องมีกระบวนการผลิตตาม พรบ.อาหาร, เครื่องสำอาง ก็ต้องมีกระบวนการทำตาม พรบ.เครื่องสำอาง หรือยา ก็ต้องมีกระบวนการทำตาม พรบ.ยา เป็นต้น

2. กัญชาปลูกได้ แต่อย่าลืมแจ้งผ่านแอป

อย่างที่ทราบกันดีว่าคุณสามารถปลูกกัญชาได้ โดยที่ประชาชนจะเลือกปลูกเพื่อใช้เอง หรือผู้ประกอบการจะปลูกในเชิงพาณิชย์ก็ตาม แต่ในการปลูกจะต้องอยู่ในอาณาเขตที่มีรั้วรอบขอบชิด ไม่ได้เปิดกว้างสาธารณะ และไม่สร้างความรำคาญในกับผู้อื่นหรือเพื่อนบ้านใกล้ชิด

ทั้งนี้ คุณจำเป็นต้องแจ้งปลูกกัญชาผ่านแอปพลิเคชัน “ปลูกกัญ” ที่ทางกระทรวงสาธารณสุขได้ทำขึ้นด้วย โดยมีเลือกเลยว่าเป็นกลุ่มปลูกประเภทไหน ประชาชนทั่วไป หรือผู้ประกอบการ ซึ่งไม่จำเป็นต้องขออนุญาตก่อน

และหากคุณอยากสูบกัญชาแบบมวน จริง ๆ แล้วหากไม่มีอากรแสตมป์จากกรมสรรพสามิตไว้อย่างถูกต้องเหมือนกับบุหรี่มวนทั่วไป ก็จะไม่สามารถทำได้โดยเฉพาะการทำในพื้นที่สาธารณะ เพราะกลิ่นและควันจะสร้างความรำคาญใจให้คนรอบข้างที่ผ่านไปมาได้

3. แยกแยะกรณีการสูบกัญชา

มีปลูกแล้ว ก็ต้องมีสูบเป็นเรื่องธรรมดา เมื่อคุณปลูกกัญชาถูกกฎหมายแล้วจะนำมาสูบก็ต้องปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ด้วย เพื่อการอยู่ร่วมกันในสังคมที่จะไม่สร้างปัญหาต่อไป คือ

  1. กระทรวงสาธรณะสุขไม่เคยรณรงค์ให้มีการสูบกัญชาเพื่อผ่อนคลาย หรือสร้างสันทนาการใด ๆ
  2. สูบแล้วเจ้าหน้าที่ตำรวจเจอ สามารถเข้าตรวจค้นได้อย่างไม่มีข้อยกเว้น
  3. กรณีที่มีการวิเคราะห์แล้วพบว่ากัญชาไม่ได้ใช้ตามที่กฎหมายให้ใช้งานได้ ก็จะถือว่าเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย

4. โทษของการสูบกัญชาเพื่อสันทนาการ

แม้จะเป็นการปลดล็อกกัญชาเสรีแล้ว แต่หากมีการสูบในพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมก็มีโอกาสที่จะได้รับโทษเช่นกัน (เหมือนการดื่มสุราแล้วก่อเรื่อง) เช่น

  • หากเสพแล้วมีการขับขี่รถ และตนเองมีความมึนเมาจากกัญชาก็จะผิดกฎหมายทันที
  • เสพแล้วเมาในที่สาธารณะจนกระทำความผิดต่าง ๆ ก็จะมีการประสานงานหาเจ้าหน้าที่ตำรวจ เพื่อบังคับใช้กฎหมายจัดการต่อไป
  • กัญชาที่ใช้งานไม่สามารถใช้เพื่อจุดประสงค์สันทนาการ หากฝ่าฝืนมีความผิดตามมาตรา 25 (4) เหตุก่อความรำคาญ ปรับไม่เกิน 25,000 บาท จำคุกไม่เกิน 3 เดือน หรือทั้งปรับทั้งจำ

 

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม :

สรุป

อยากให้ทุก ๆ คนที่เลือกใช้งานกัญชาถูกกฎหมายใส่ใจเรื่องประโยชน์ทางการแพทย์เป็นสำคัญ และควรใช้งานอย่างมีสติ รอบคอบในทุกครั้ง เพราะไม่อย่างนั้นอาจนำพาอันตรายมาสู่ตนเองในที่สุด ไม่ทางพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปจนถูกจับกุม ก็ทางสุขภาพที่อาจรับปริมาณสารมากเกินไป